Tenseหรือกาล
เป็นส่วนหนึ่งของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ทำให้รู้เกี่ยวกับการเกิดเหตุการณ์ต่างๆช่วงเวลา
และลักษณะของการเกิดในขณะที่กล่าวถึงเป็นปัญหาสำหรับผู้เรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นอย่างมากเนื่งจากtenseมีโครงสร้างประโยคที่มากมายถึง12tenseที่สามารถพลิกแพลงได้อีกมากมายซึ่งนอกจากtenseจะมีactive voiceแล้วtenseยังมีรูปแบบของpassive
voiceอีกด้วยซึ่งจะขอกล่าวเกี่ยวกับpassive voiceและการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ในการพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษต่อไป
Voice แปลเป็นภาษาไทยว่าวาจก หมายถึงหน้าที่ของกริยาว่ากริยาของผู้กระทำหรือถูกกระทำ
กล่าวได้อีกอย่างคือ
ประธานที่อยู่หน้ากริยานั้นเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำโดยแบ่งออกเป็น2ประเภทคือactive voiceภาษาไทยคือกรรตุวาจกหมายถึงประธานเป็นผู้กระทำซึ่งเป็นประโยทั่วๆไปประโยคประเภท
ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรและpassive voiceหรือกรรมวาจกหมายถึงประธานเป็นผู้ถูกกระทำด้วยกริยาpassive
voiceเหมือนการพูดกลับกันของactive voiceคือประธานถูกกระทำอะไร
ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรโดยมีหลักการเปลี่ยนประโยคอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่
อย่างไรเป็นpassive voiceมี3ข้อคือการเปลี่ยนประโยคactive
voiceมาเป็นประธาน การเปลี่ยนรูปของกริยาให้อยู่ในรูปpassiveเพื่อแสดงให้รู้ว่าประธานถูกกระทำและการย้ายประธานในประโยคactive
voiceมาเป็นกรรมแทนโดยใส่บุพบท by…เพื่อให้รู้ว่าถูกกระทำโดยใครหรือะไร
โครงสร้างของpassive voiceคือs+v.be+v.3+by+คนหรือสิ่งของเนื่องจากโครงสร้างแต่ละtense ในประโยคactive voiceนั้นมีความแตกต่างกันเมื่อจะเปลี่ยนประโยคactive
voiceเป็นประโยคpassive voiceก็ย่อมมีโครงสร้างที่แตกต่างกันโดยประโยคsimple
tenseจะเป็นs+v.be+v.3 ประโยคcontinuousคือs+v.be+being+v.3ส่วนperfect tenseคือs+v.have+been+v.3และperfect continuous
tenseคือs+v.have+been+being+v.3โดยที่แต่ละverbจะเปลี่ยนไปตามชนิดเวลาแลมีบางtenseที่ไม่นิยมทำเป็นรูปpassive
voiceได้แก่present perfect continuous tense, future
continuous tense
ประโยคpassive voiceบางส่วนจะเป็นประโยคที่ไม่มีคำบุพบทbyต่อท้าย เนื่องจากไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ รู้แค่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ
เช่นเหตุการณ์ประเภทเขาเล่าว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครหรือประโยคที่ไม่ต้องการเน้นผู้กระทำ
หรือสิ่งของที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นไม่รู้ไม่เน้นหรือไม่แน่ใจว่าใครประดิษฐ์
กรณีเหล่านี้จะตัดบุพบทby..
แต่ถ้าเน้นหรือให้เกียรติผู้ประดิษฐ์ก็จะใส่by.. อีกกรณีหนึ่งที่นิยมตักบุพบททิ้ง
คือ by you จะไม่นิยมใช้กัน
กรณีที่ประโยคpassive voiceที่ใช้บุพบทby..ตามด้วยคนหรือสิ่งของนั้นเป็นการบอกว่าใครหรือสิ่งใดเป็นผู้กระทำกริยานั้น
แต่มีคำกริยาบางคำที่ใช้กับคำบุพบทที่ไม่ใช่by..แต่ใช้คำอื่นแทนคือการบอกว่าใช้อุปกรณ์อะไรในการทำกริยานั้นใช้บุพบทwithที่แปลว่าด้วย การบอกว่าเหตุการณ์หรือประธานนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่
ในกรณีที่จะเปลี่ยนประโยคเป็นpassive voiceแต่มีกรรมสองตัวคือกรรมตรงมักเป็นสิ่งของ
และกรรมรอง ประโยคactive voiceที่กรรม2ตัวสามารถเขียนได้2แบบคือ การใช้กรรมตรงขึ้นก่อนหรือกรรมรองที่ขึ้นก่อนก็ได้s+v+กรรมตรง+prep+กรรมรอง ,s+v+กรรมรอง+กรรมตรง+กรรมรอง เมื่อทำเป็นpassive voiceก็ทำได้2แบบเช่นกันคือ
นำกรรมตรง(สิ่งของ)เป็นประธานหรือนำกรรมรอง(คน)เป็นประธานก็ได้กริยาทีสามารถมีกรรม2ตัวได้ คือ give, lend, borrow, sendเป็นต้นและโคงสร้างประโยคpassive
voiceจะมีโครงสร้างคือ s+helping v.+be+v.3
กรณีที่ใช้passive voiceเพื่อรู้ว่าใครหรืสิ่งใดเป็นผู้กระทำเหตุการณ์นั้นๆต้องการเน้นคนหรือสิ่งที่ถูกกระทำให้มีความสำคัญ
แม้จะรู้กันดีว่าใครหรือสิ่งใดเป็นผู้กระทำคำที่นิยมคือthink, feel, knowเป็นต้น ถ้าเป็นภาษาทางการจะใช้ประธานเป็นitมาทำเป็นpassive
voiceบรยายถึงการสร้าง การผลิตเพื่อบอกสินค้าและของที่ผลิต
เป็นสำนวน การนำเสนอ งานวิชาการ จะนิยมสร้างpassive voiceเหตุผลหลักๆไม่ม่ใช่ว่าโครงสร้างactive
voiceแต่เนื่องจากเหตุผล2ประการคือผู้อ่านทราบดีอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำงานชิ้นนี้
จึงไม่จำเป็นต้องใช้Iและผลของการทำงาน ผลสรุป
ที่ต้องเน้นมากกว่าผู้กระทำ
การใช้getในประโยคactive voiceแทนv.beซึ่งโครงสร้างเดิมของactive voiceคือs+v.be+v3+by+สิ่งของ เรายังสามารถใช้get gotแทนv.beโดยประโยคโครงสร้างจะเป็นs+get/ got+v3+คนหรือสิ่งของ
แต่จะใช้คู่กับกริยาแค่ไม่กี่ตัวโดยใช้ในกรณีภาษาพูด ภาษาไม่เป็นทางการ
เหตุไม่คาฝัน เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี ความยากลำบากหรือความสำเร็จที่มาจากการสร้างหรือสะสมล่วงหน้ามานาน
Active voiceเขียนในโครงสร้างประโยคที่ประธานไม่ได้เป็นผู้กระทำกริยาและไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำ
เป็นเพียงผู้มีส่วนช่วยให้การกระทำ คือมีส่วนให้กรรมถูกกระทำเรียกว่าcausative
passive constructionมีผู้กระทำอยู่แล้วซึ่งมีโครงสร้างคือs+get/
got+กรรม+v3และs+have/ had+กรรม+v3ซึ่ง causative passive constructionสามารถใช้โครงสร้างgetและhave สลับกันได้ในเหตุการณธรรมดาเพื่อบอกว่าจะทำอะไรหากเป็นเหตุที่ไม่ดีใช้get
ดังนั้นpassive voiceคือการกลับด้านของประโยคactive
voiceซึ่งโครงสร้างประโยคทั่วไปคือs+v.be+v3+by+คนหรือสิ่งของโดยการใช้ประโยคactive voiceสำหรับการเน้นผู้ถูกกระทำมาเป็นประธานของประโยคและประโยคที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประธานคือใครซึ่งจะนิยมใช้กับคำบุพบทby และยังมีประโยคที่ไม่สามารถทำเป็นactive voiceได้คือประโยคที่กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับและยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือคำศัพท์
คำศัพท์เป็นพื้นฐานของภาษาสิ่งแรกของการเรียนรู้ภาษาคือการศึกษาคำศัพท์เมื่อได้คำศัพท์
การศึกษาไวยากรณ์และสิ่งอื่นตามลำดับซึ่งคำศัพท์ต้องมีการท่องจำเพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำโดยการเรียนรู้หรือการรรับรู้แต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันตามข้อจำกัดของแต่ละบุคคลโดยจะต้องสะสมคำศัพท์ต่างๆและหมั่นทบทวนและการพลิกแพลงโดยกลวิธีต่างๆ
กลวิธีการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากlearning English with Ronnieสิ่งแรกของการจดจำคำศัพท์คือการทบทวน
repeat, repeatทบทวนหลายๆครั้งเพราะผู้เรียนบางคนมีความสามารถเรียนรู้และจดจำด้วยวิธีที่ต่างกัน
การทบทวนคำศัพท์หลายๆครั้งช่วยผู้ที่มีการเรียนรู้ด้วยการฟังaudio learning
และทักษะต่อมาคือposter/ sticky note
เป็นการเตือนเป็นการเตือนความจำโดยการวางคำศัพท์ในสถานที่ต่างๆซึ่งกลวิธีนี้ดีต่อที่ผู้มีการเรียนรู้ด้วยvisual
learningคือได้มองเห็นอยู่เสมอ ต่อมาคือการdraw pictures เป็นการวาดรูปความหมายของคำศัพท์โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ออกแบบตัวอักษรคำศัพท์เป็นรูปตามความหมายคำศัพท์หรือผู้ที่มีความสามารถทางศิลป์และอื่นๆเรายังสามารถประยุกต์กับสิ่งอื่นได้ด้วย
การจำคำศัพท์ด้วยวิธีmake a sentenceการนำคำศัพท์ที่สนใจมาสร้างประโยคจะช่วยในการจำคำศัพท์แล้วยังช่วยในการจำโครงสร้างประโยคอีกด้วยและอีกวิธีคือ
your language can helpคือการใช้เสียงของคำศัพท์ที่จะจดจำเทียบเคียงกับภาษาตนเองแม้จะต่างความหมายก็ตามเรียกว่า
friend false ซึ่งกลวิธีการท่องจำคำศัพท์วิธีต่างๆ
การจดจำคำศัพท์ที่ดีคือความสม่ำเสมอ
หมั่นฝึกฝนใส่ใจทุกคำศัพท์หากไม่สม่ำเสมออาจทำให้ลืมได้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าpassive voiceเป็นการเขียนประโยคโดยเน้นประธานเป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทำมีโครงสร้างs+v.be+v3+by+คนหรือสิ่งของมีเงื่อนไขต่างๆโดยการสร้างประโยคที่สำคัญคือคำศัพท์และคำศัพท์ยังเป็นพื้นฐานของภาษาที่ผู้ใช้ภาษาจำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนท่องจำมีวิธีการทบทวนซ้ำๆ
การวางคำศัพท์เตือนความจำ การวาดรูป การสร้างประโยคและการเทียบเคียงภาษาของตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น