ปัจจุบันมีการใช้ภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง
เนื่องจากประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงปัจจุบัน
มีการนำเข้าวิทยาการใหม่ๆที่มีส่วนในการพัฒนาความความเจริญ งานแปลจึงมีความจำเป็นต่อผู้ไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศ
การแปล หมายถึง การเอาบทความภาษาหนึ่งมาเขียนแทนด้วยภาษาหนึ่ง
ซึ่งเป็นทักษะพิเศษ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
โดยผู้แปลจะต้องมีความรู้และความสามารถทางด้านภาษา
จะต้องแปลออกมาได้ถูกต้องและครบถ้วน ผู้แปลจึงต้องมีการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ
คุณสมบัติของผู้แปล
-รู้ภาษาอย่างดี มีศิลปะในการใช้ภาษา
-รักการอ่าน ค้นคว้า
-มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่น
-อดทนและเสียสละ
ในการใช้เวลาและความคิด การตรวจทาน
-มีความรับผิดชอบ
วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
-สอนฝึกและผลิตนักแปลที่มีคุณภาพออกสู่สังคม
-สอนทักษะการอ่านและการเขียน
และต้องฝึกอย่างเข้มข้น
-ต้องกระตุ้นผู้เรียนให้มีการอ่านอย่างกว้างขวาง
เพื่อใหผู้เรียนมีประสบการณ์ สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
-ให้ผู้เรียนได้พบปะกับผู้แปลคนอื่นๆ
บทบาทของการแปล
การแปลเปรียบเหมือตัวกลางระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
ผู้แปลในฐานะตัวกลางในการส่งสารจึงมีบทบาทสำคัญ
คุณสมบัติของนักแปล
1.คุณสมบัติส่วนตัว
มีใจรักในงานแปล รักการอ่าน การค้นคว้า ระมัดระวังในการใช้ภาษา มีความละเอียดรอบคอบ
มีจรรยาบรรณของนักแปล และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
2.ความรู้ เข้าใจทั้งสองภาษาได้เป็นอย่างดี
มีการค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลาและยังมีความรู้เกี่ยวกับพื้นหลังทางวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
3.ความสามารถ
มีความเข้าใจในต้นฉบับเดิม นำมาถ่ายทอดได้ มีความคิดสร้างสรรค์และจิตนาการ
และมีการแบ่งขั้นตอนในการแปล
4.ประสบการณ์
มีการฝึกฝนอยู่เสมอ มีความรู้ในหลายสาขา หมั่นหาความรู้และศึกษางาแปลของผู้อื่นเพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง
ลักษณะงานแปลที่ดี
ควรมีเนื้อหาที่ตรงตามต้นฉบับ
รักษาความเป็นต้นฉบับครบถ้วน ใช้สำนวนหรือประโยคที่กระชับสละสลวยเข้าสมัยสังคมเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น
การให้ความหมายในการแปล
การให้ความหมายมี 2 ประการคือ
1.การแปลจากประโยคต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน
2.การตีความจากบริบทต่างๆเช่น
สิ่งของ รูปภาพ การกระทำหรือสถานการณ์
การแปลจากการใช้รูปแบบของกาล คือ
ปัจจุบันกาล (Present Simple) และอนาคต
(Present Progressive)
การแปลจากภาษาอังกฤษต้องคำนึงถึงความหมาย
ดังนี้
1.อนาคตกาล การแปลจะต้องเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันกาล
(ใช้คำว่า always หรือ often) กับอนาคตกาล
(การใช้คำว่า now)
2.โครงสร้างต่างๆในประโยคจะต้องแปลระดับประโยคไม่ใช่ระดับคำ
แปลตามความหมายไม่แปลตามไวยากรณ์
3.คำศัพท์เฉพาะต่างๆหรือคำศัพท์หลายคำแต่มีความหมายเดียวกันให้แปลเป็นคำเดียวที่มีความหมายใกล้เคียงที่สุด
4.ตีคำนาย
โดยการแปลคำเฉพาะเป็นความหมายทั่วไป
การแปลและการตีความจากบริบท
จะต้องมีความใกล้เคียงและความคิดรอบคอบ ไม่ใช่การแปลให้เป็นรูปแบบเดียวกับรูปประโยค
แต่ให้ดูสถานภาพที่อยู่ในข้อความ
การวิเคราะห์ความหมาย
สิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์ความหมายคือ
1.องค์ประกอบของความหมาย
แต่ละภาษาจะต้องมีระบบที่จะแสดงความหมายคือ
-คำศัพท์
คำศัพท์แต่ละคำสื่อความหมายแต่สามารถความหายเมื่ออยู่ในบริบทต่างกัน
-ไวยากรณ์ คือแบบแผนในการจัดเรียงภาษา
-เสียง ในภาษามีเสียงจำนวนมากที่ให้ความหมาย
เมื่อเสียงนำมารวมกันทำให้เกิดคำ
ความหมายและรูปแบบ
1.ความหมายหนึ่งสามารถออกมาได้หลายรูปแบบ
2.รูปแบบเดียวอาจมีหลายความหมาย
ประเภทของความหมาย
1.ความหมายอ้างอิง
(Referential meaning) หรือความหมายตรง
คือการอ้างถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
2.ความหมายแปล (Connotative
meaning) คือความรู้สึกอารมณ์ของผู้อ่าน ผู้ฟัง
ที่บางคำไม่สื่อถึงอารมณ์ได้ในอีกภาษาหนึ่ง
3.ความหมายตามบริบท
(Contextual meaning) คำหนึ่งสามารถอธิบายได้หลายคำ
จึงต้องดูบริบทของคำนั้นๆ
4.ความหมายเชิงอุปมา (Figurative
meaning) บางครั้งมีการเปรียบเทียบที่ไม่ชดเจน
ผู้แปลจำต้องค้นหาความรู้เพิ่มเติม
การเลือกบทแปล
ในการเลือกบทแปลจะต้องเลือกให้มีความหลากหลายเพื่อตรวจสอบความสามารถในการแปลของตนเอง
ควรเลือกหนังสือที่ได้รับการยอมรับในสาขาเหล่านั้น
มีความทันสมัยตลอดจนการใช้ภาษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น