คำพูด(speech)คือการใช้เสียงที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารกันออกมาเป็นข้อความต่างๆทำให้เกิดเป็นคำ(word)ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของคำพูดที่มีความหมายอยู่ในตัวเองเพื่อนำคำตั้งแต่2คำขึ้นไปมารวมกันก็จะกลายเป็นกลุ่มคำ(word group)ส่วนกลุ่มคำที่มีความหมายชัดเจนที่ทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ว่าใคร
ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรคือประโยค(sentence)
Sentence(ประโยค)คือกลุ่มคำที่รวมกันอยู่ตามโครงสร้างภาษาโดยมีประธาน(subject)และส่วนขยาย(predicate)เป็นของตัวเองและให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์ในตัวเองส่วนกลุ่มคำที่อยู่ตามลำพังและไม่ให้ความหมายที่สมบูรณ์ก็ไม่ถือว่าเป็นประโยค
แต่เมื่อใช้ร่วมกับกลุ่มคำอื่นแล้วให้ความหมายที่สมบูรณ์จึงถือว่ากลุ่มคำทั้งหมดนั้นเป็นประโยค
ซึ่งประโยค(sentence)ได้แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ
คือส่วนประธาน(subject)และส่วนขยาย(predicate)กลุ่มคำใดก็ตามที่ไม่ครบทั้งสองส่วนนี้ไม่ถือว่าเป็นประโยคสมบูรณ์
แต่บางประโยคอาจจะละคำบางคำไว้ในฐานที่เข้าใจหรือไม่มีความจำเป็นโดยส่วนที่เหลือสามารถสื่อให้เข้าใจได้ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังถึงแม้จะเหลือเพียงคำเดียวก็ยังถือว่าเป็นประโยค
เช่น Go!, When?
Subject(ประธาน)อาจจะเป็นคำนามหรืคำสรรพนามเพียงคำเดียวก็ได้หรืออาจจะประกอบขึ้นจากคำหลายๆคำซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นคำนามก็ได้
เมื่อประธานของประโยคเป็นกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำ
โดยคำเหล่านั้นจะมีคำนามหลักอยู่ด้วยคำนามหลักจะทำให้ส่วนประธานสมบูรณ์และคำนามหลักนี้เรียกว่า
subject-word หรือ simple subject เช่น
The little boy, tired for play, is sleeping.ส่วนประธานของประโยคประกอบด้วย3คำ คือ the, little, boyแต่คำที่ทำหน้าที่เป็นsubject-wordหรือคำนามหลักของประธานคือboyและเป็นตัวกำหนดกริยาว่าต้องเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
ส่วนlittleเป็นคำadjectiveขยายคำนามหลักและthe
เป็นarticleเป็นคำนำหน้านาม
Subject(ประธาน)มักจะเป็นคำนามหรือเป็นคำเดียวหรืออาจเป็นกลุ่มคำก็ได้โดยกลุ่มคำนั้นจะทำหน้าที่เหมือนคำนามและคำที่ใช้เป็นประธานในภาษาอังกฤษนั้นได้แก่
คำนาม(noun)คือ ชื่อของคน สัตว์ สถานที่หรือชื่อของสิ่งต่างๆรอบตัวเรา,
สรรพนาม(pronoun)คือคำที่ใช้เรียกแทนคำนาม
ได้แก่ he, she, it, I, you, we, they คำคุณศัพท์(adjective)ขยายคำนามหลัง
แต่คำคุณศัพท์ที่นำมาเป็นประธานได้ถ้าละประธานตัวจริงที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เช่น The
rich much help the poorซึ่งrichและpoor เป็นadjectiveที่ขยายคำนามหรือสรรพนาม แต่richขยายpeople แต่ละpeopleไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะจริงจะเป็น
the rich peopleเป็นต้น to-infinitive(to+v1)สามารถนำมาเป็นประธานเอกพจน์เสมอ เช่น to fine fault is easy.เป็นต้น
Subject(ประธาน)ชนิดต่อมาคือgerundกริยาช่องที่หนึ่งเติม-ingจะนำมาเป็นประธานที่เป็นเอกพจน์เสมอ Talking too much is a sign
vanity.เป็นต้น วลี(phrase)คือกลุ่มคำที่นำมาเป็นประธานของประโยค
เช่น To win a prize is my ambition.ซึ่ง To win a
prizeคือประธานของประโยและเป็นวลี Slow and ready win the race.ซึ่ง Slow and readyคือphraseที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเป็นประธานเอกพจน์
และประธานชนิดสุดท้ายคือ อนุประโยค(clause)คือกลุ่มคำที่มีประธานและกริยาเป็นของตัวเองใช้เป็นประธานของประโยคได้และเป็นประธานเอกพจน์
เช่น why he climbed the mountain is mystery to me.ใช้noun
clauseเป็นประธานของประโยคและกริยาคือisเป็นเอกพจน์
ประธานที่ประกอบด้วยกลุ่มคำที่มีตั้งแต่2คำขึ้นไป จะต้องมีส่วนขยายคำนามหลัก(subject
word)อยู่ด้วยเสมอโดยคำที่มาขยายคำนามหลักนั้นจะอยู่ในหลายๆรูปดังนี้
ใช้articleขยายคำนามหลักของประโยค เช่น A baby
cried. (Aขยายคำนามหลักbaby)เป็นต้น adjectiveขยายคำนามหลักของประโยค เช่น Fresh milk is good for the
health.เป็นต้น ใช้possessive adjectiveหรือpossessive
case (s’)เป็นส่วนขยายคำนามหลักของกลุ่มประธาน ใช้nounหรือphrase in appositional เป็นส่วนขยายคำหลักของส่วนประธาน
nounและphrase in appositionคือคำที่ใช้เป็นสรรพนามหรือขยายคำนามหลักนั่นเอง
เช่น Lincoln, the president of America, was assassinate.เป็นต้น
ใช้prepositional phraseเป็นส่วนขยายคำนามหลักที่เป็นประธาน
เช่นBirds of the same flock together.(birdเป็นคำนามหลัก)เป็นต้น และยังมีคำอื่นๆเป็นตัวขยายคำนามหลักของส่วนประธาน เช่น Only
me to live pulled me through.(to liveเป็นto-infiniteทำหน้าที่เป็นadjective)หรืThe king,
generous as ever, pardoned to rebel.(generous as everเป็นadjective
phrase เป็นส่วนขยายking)เป็นต้น
Predicateคือส่วนขยายของประโยค โดยประโยค(sentence)ที่สมบูรณ์นั้นจะประกอบด้วย2ส่วน คือส่วนประธานและส่วนขยายซึ่งส่วนขยายคือส่วนที่อยู่ถัดจากส่วนประธาน
predicateอาจเป็นคำๆเดียวหรือกลุ่มคำก็ได้
แต่ส่วนหลักของส่วนขยายจะเป็นกริยาเพราะประโยคที่ไม่มีกริยาถือว่าเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์
ถ้าส่วนขยายทีเพียงคำเดียวก็แสดงว่าคำนั้นเป็นคำกริยาแต่ถ้ามีหลายคำต้องมีกริยาอยู่ในนั้นด้วยส่วนที่เหลือจะเป็นคำกริยาวิเศษณ์หรืกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เหมือนadverb(adverb-equivalent)ดังตัวอย่าง Tom did his work efficiently โดย
efficiently.เป็นadverbที่ทำหน้าที่ขยายกริยาคือdidในประโยคและตั้งแต่didเป็นต้นมาคือส่วนขยายของประโยคLadda
looked disappointed.ซึ่งdisappointedเป็นpast
participleคือกริยาช่องที่3ทำหน้าที่เป็นเหมือนadverbและตัวอย่างต่อมาคือDale wanted to goซึ่งto
goเป็นto-infinitiveและเป็นส่วนขยาย(predicate)ด้วย
Object คือกรรมของประโยคจะอยู่ในส่วนpredicateและจะอยู่หลังกริยาที่ต้องการกรรม(transitive
verb)objectมีอยู่2ชนิดคือdirect
objectและindirect objectซึ่งdirect
objectคือกรรมตรงของประธานโดยปกติแล้วdirect objectจะไว้หลังindirect objectหรือวางไว้ลำพังถ้าในประโยคนั้นไม่มีindirect
objectอยู่ในประโยคด้วย ตัวอย่างประโยคที่มีdirect objectเพียงลำพัง Tom did workและประโยที่มีindirect
objectและdirect objectคือ I will sent
you a doll(dollเป็นกรรมตรงของกริยาsentส่วนherเป็นindirect objectของsentและวางa
dollไว้ด้านหลัง)และประโยคI will sent
a doll to her(กรรมตรงคือa dollวางไว้หน้าindirect
objectได้โดยใช้toมาคั่นเสมอเพราะถ้าต้องการวางdirect
objectไว้หน้าindirect objectจำต้องเพิ่มtoมาคั่นด้วยหรือใช้for)
ประโยคสามารถมีobjectหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับverbเนื่องจากverbมีด้วยกัน2ชนิด
คือ transitive verbคือกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับซึงกรรมที่มารองรับจะมีเพียงกรรมตรงdirect
objectหรือมีทั้งกรรมรองindirect objectก็ได้ตามที่ผู้ใต้องการกรรมมารองรับจึงจะทำให้ความหมายสมบูรณ์
ซึ่งกริยาคือtransitive verbและกริยาอีกชนิดคือintransitive
verbคือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับเพราะเนื้อหาของประโยคและความหมายของกริยาสมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงไม่ต้องมีกรรมตามหลัง จะมีเพียงcomplementคือส่วนที่เติมให้ความหมายสมบูรณ์เท่านั้นจึงไม่ต้องมีกรรมตามหลัง
เช่น Teacher slept in his chair. (slept มาจากsleepมีความหมายสมบูรณ์อยู่แล้วin his chair เป็นเพียงcomplement)
ประโยค(sentence)คือกลุ่มคำที่มีความหมายในตัวเองเป็นที่เข้าใจกันดีระหว่างผู้ส่งสารและรับสารว่ามีใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไหรอย่างไรโดยแบ่งประโยคออกเป็น4รูปแบบคือ1ประโยคคำกล่าว(statement)โดยแบ่งออกเป็น2ลักษณะคือ ประโยคคำกล่าวบอกเล่า(affirmative)เช่นHe goes to school.และประโยคคำกล่าวปฏิเสธ(negative)เช่นHe doesn’t go to school. 2ประโยคคำถาม(question/
interrogative)เช่นwhat do you want? 3ประโยคขอร้อง(request)หรือประโยคคำสั่ง(imperative)เช่นPlease,
open the door.หรือGet out. 4ประโยคอุทาน(exclamation)gช่นhow cool is it!นอกจากนี้sentenceที่แบ่งตามโครงสร้างของประโยคถูกแบ่งออกเป็น4ชนิดโดยแต่ละประโยคจะมีอนุประโยคclauseที่อยู่ภายในเป็นตัวกำหนด1simple sentence2compound
sentence3complex sentence4compound sentence
Simple
sentenceคือประโยคที่มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว คือ independent
clauseเพียงประโยคเดียวเท่านั้นโดยจะไม่มีsubordinate clauseอยู่ในประโยค อนึ่งindependent clauseคือประโยคอิสระที่ประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าmaim
clauseโดยประโยคsimple sentenceจะประกอบด้วยส่วนประธานและส่วนขยายเท่านั้นโดยประธานจะเป็นคำๆเดียวหรือหลายคำก็ได้และส่วนขยายจะเป็นคำๆเดียวหรือหลายคำก็ได้เช่นกัน
เช่น Rattana waited for a taxi for 10 minute. The English class will
have a test on Monday.ซึ่งสังเกตได้ว่าsimple sentenceนั้นจะเป็นประโยคสั้นๆโดยมีประธานตัวเดียวและกระทำเหตุการณ์เพียงหนึ่งเหตุการณ์ในประโยคโดยกริยาแท้ของประโยคจะมีเพียงตัวเดียวซึ่งอยู่ในส่วนขยายของประโยค
Compound sentenceคือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอิสระindependent
clauseตั้งแต่2ประโยคขึ้นไปและแต่ละประโยคมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเองโดยมีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวอง
ประโยคอิสระที่อยู่ในประโยตcompound sentenceนั้นจะมีความเสมอภาคกันทั้งในด้านความสำคัญและความเป็นอิสระที่ไม่ต้องขึ้นตรงต่อกัน
จะใช้ตัวเชื่อมจำพวกcoordinating conjunctionคือand,
or, forเป็นต้นconjunction adverbจำพวก also, furthermoreเป็นต้น
เป็นตัวเชื่อมประโยคอิสระแต่ละประโยคเข้าด้วยกันในประโยคcompound sentence
Complex sentenceคือประโยคความซ้อนซึ่งประกอบด้วยประโยคหลัก1ประโยคและประโยครองหรืออนุประโยคอีกอย่างน้อย1ประโยคซึ่งประโยคหลักindependent
clause, main clauseหรือprinciple clauseคือประโยคอิสระที่มีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง
มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองไม่ขึ้นตรงต่อประโยคอื่นและประโยครองdependent
clauseหรือsubordinate clauseคือประโยคที่อาศัยประโยคหลักอยู่
ประโยครองจะไม่สามารถอยู่ตามลำพังโดยไม่มีประโยคหลักเพราะเนื้อหาของประโยครองเป็นเนื้อหาที่ใช้ขยายหรืออธิบายประโยคหลักและประโยครองสามารถทำหน้าที่เป็นกรรม
เป็นส่วนขยาย เป็นกริยาวิเศษณ์ เป็นต้น ของประโยค
ดังนั้นจึงอยู่ตัวเดียวไม่ได้ต้องมาในประโยคที่มีประโยคหลักอยู่ด้วย
และความสำคัญของประโยคหลักกับประโยครองไม่เท่ากันจะใช้subordinate conjunctionจำพวกthat, which, who, when,
if, where, while, whyเป็นต้น เป็นตัวเชื่อม
Compound
complex sentenceคือประโยคที่สร้างจากประโยคcompound sentenceและcomplex sentenceโดยประโยคCompound
complex sentenceจะประกอบด้วยประโยคหลักmain clauseอย่างน้อย2ประโยคขึ้นไปและประโยครองsubordinate clauseอย่างน้อย1ประโยค เช่นWhile
Sam played the guitar, Sara sang and Nate danced.ประโยคที่กล่าวมาประกอบด้วยประโยคหลัก2ประโยคและประโยครอง1ประโยค ดังนี้ ประโยคหลัก2ประโยค Sara sang and Nate danced.และประโยครองWhile
Sam played the guitar.
Clause
คือกลุ่มคำที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเอง โดยมากแล้วclauseจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของประโยคเพื่อจะทำให้ประโยคนั้นยาวขึ้นซึ่งclauseสามารถแบ่งออกได้เป็น2กลุ่มใหญ่คือindependent
clauseหรือmain clauseคือclauseที่มีความหมายสมบูรณ์อยู่ในตัวถ้าแยกclauseออกมาจะเป็นsimple
sentenceเพราะเป็นประโยคที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและมีความหมายสมบูรณ์หนึ่งความหมาย
และclauseกลุ่มคือsubordinate clauseคือclauseที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองแต่ไม่สามารถอยู่ได้ตามลำพังโดยจะต้องอาศัย(รวม)อยู่กับประโยคindependent
clauseหรือmain clauseเสมอเพราะถ้าอยู่ตามลำพังตัวเองแล้วจะมีความหมายไม่สมบูรณ์ต่างจากmain
clauseที่มีความหมายสมบูรณ์เช่นเดิม แบ่งออกเป็น3ชนิดคือ noun clause, adjective clauseและadverb
clause
Noun
clauseคือกลุ่มคำและตัวขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เป็นเหมือนคำนามอีกนัยหนึ่งคือ
ประโยคที่ทำหน้าที่แทนคำนามจึงเรียกว่าnoun clauseซึ่งnounใช้เป็นประธานเป็นกรรมของกริยาและกรรมของบุพบทส่วนnoun clauseคือประโยคคำนามที่สามารถใช้เป็นประธานเป็นกรรมของกริยาและกรรมของบุพบทเช่นWhat
I told them was true.สำหรับmarkerคือเครื่องหมายหรือคำศัพท์ที่นำหน้าnoun
clauseจะมีmarkerอยู่3กลุ่มนำหน้าเสมอ
กลุ่มแรกคือwhen, where, how etc.กลุ่มที่สองคือif,
whetherและกลุ่มสุดท้ายคือthat
Noun
clauseใช้เป็นประธานอกพจน์เสมอsubject(marker+subject2+verb2)+verb+complementใช้noun clauseเป็นกรรมของกริยาในประโยคsubject1+verb1+object(marker+subject2+verb2)เป็นกรรมของprepositionโดยnoun clauseจะวางอยู่หลังบุพบท noun clauseที่วางอยู่หลังinจะไม่ใช้if-clauseเป็นกรรมของประโยคจะใช้that clause สามารถใช้adjectiveวางไว้หน้าthat clauseได้ ใช้noun clauseเป็นส่วนเติมเต็มของกริยาในประโยคและใช้noun clauseเป็นส่วนขยายของคำนามหรือสรรพนามอื่นๆ
Adverb
clauseคือประโยคsubordinate clauseที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองทำหน้าที่เหมือadverbคือทำหน้าที่ขยายกริยาคำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ จะมีsubordinate conjunctionมานำหน้าประโยคmain clauseให้ใช้comma(,)คั่นระหว่างประโยคadverb
clauseและmain clause และทีน่าสังเกตคือfuture
simple tenseมักจะไม่ใช้ประโยคadverb clauseแต่ถ้าต้องการใช้ประโยคadverb
clauseที่มีความหมายเป็นfuture simple tenseมักจะใช้present
simple tenseแทนโดยadverb clauseจะแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามลักษณะหน้าที่ๆไปขยาย
Phrase คือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองแต่มีความสัมพันธ์ในกลุ่มของตัวเองและมีความหมายแต่เป็นความหมายที่ไม่สมบูรณ์
เช่น in the morning.ซึ่งphraseวลีบาตัวขึ้นต้นด้วยprepositionและบางตัวขึ้นต้นด้วยparticipleแต่จริงๆแล้วphraseมีคำขึ้นต้นมากมายแตกต่างกัน โดยแบ่ง phraseแบบกว้างๆจะออกได้2กลุ่มด้วยกันคือ1.phraseตามรูปของการขึ้นต้น2.phraseตามหน้าที่ใช้งาน
การแบ่งphraseตามคำขึ้นต้นจะมีคำหลักๆอยู่4ชนิดคือ1.prepositional phraseคือphraseที่คำขึ้นต้นเป็นprepositionซึงprepositionจะวางไว้หน้าคำนามหรือสรรรพนามเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามนั้นๆกับคำอื่นๆในประโยคและคำอื่นๆที่เริ่มต้นคือwith,
on, behalfเป็นต้น2.participal phraseคือphraseที่ขึ้นต้นด้วยparticipleซึ่งparticipleมีอยู่หลายรูปแบบคือpresent participle (v-ing)ที่ลดรูปมาจากnoun
clauseและpast participle (v3)และperfect participle(having+v3) 3.gerundial phraseคือphrase v-ing 4.infinite phraseคือphraseที่ขึ้นต้นด้วยto+v1
การแบ่งphraseตามหน้าที่การใช้งานจะแบ่งออกได้3ชนิดด้วยกันคือ1.adjective phraseคือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เหมือนadjectiveหรือphraseที่ทำหน้าที่เหมือนadjectiveโดยทั่วไปเรียกว่าadjective phraseแม้จะมีหน้าที่ขยายนามเช่นเดียวกับadjectiveแต่มีการวางต่างกันคือadjective-a
golden crownและadjective phrase-a crown made of golden.
2.adverb phraseคือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เหมือน
adverbเรียกว่าadverb phraseคือทำหน้าที่ขยายกริยาคำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์แต่ถึงแม้จะมีความหมายเดียวกับadverbแต่มีการวางต่างกัน adverb-bravelyและadverb
phrase-in a brave manner. 3.noun phraseที่ทำหน้าที่เหมือนคำนามเช่น
เป็นประธานหรือเป็นกรรมของประโยค
ดังนั้นประโคหรือกลุ่มคำประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดงซึ่งสามารถทำเป็นประโยคบอกเล่า
คำสั่ง คำถามต่างๆและโครงสร้างของประโยคยังมีความหลากหลายคือประโยคsimple sentence, compound sentence, complex sentence compound
complex sentence ที่มีclauseหรือนุประโยคเป็นส่วนประกอบและยังมีphraseหรือวลีเป็นส่วนประกอบของประโยคอีด้วย นอกจากนี้ยงสามารถย่าclauseให้กลายเป็นphraseเพื่อให้ข้อความกระชับเพื่อความสวยงามของประโยค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น