วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

learning log inside classroom

Sentence



คำพูด(speech)คือการใช้เสียงที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารกันออกมาเป็นข้อความต่างๆทำให้เกิดเป็นคำ(word)ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของคำพูดที่มีความหมายอยู่ในตัวเองเพื่อนำคำตั้งแต่2คำขึ้นไปมารวมกันก็จะกลายเป็นกลุ่มคำ(word group)ส่วนกลุ่มคำที่มีความหมายชัดเจนที่ทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรคือประโยค(sentence)
Sentence(ประโยค)คือกลุ่มคำที่รวมกันอยู่ตามโครงสร้างภาษาโดยมีประธาน(subject)และส่วนขยาย(predicate)เป็นของตัวเองและให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์ในตัวเองส่วนกลุ่มคำที่อยู่ตามลำพังและไม่ให้ความหมายที่สมบูรณ์ก็ไม่ถือว่าเป็นประโยค แต่เมื่อใช้ร่วมกับกลุ่มคำอื่นแล้วให้ความหมายที่สมบูรณ์จึงถือว่ากลุ่มคำทั้งหมดนั้นเป็นประโยค ซึ่งประโยค(sentence)ได้แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือส่วนประธาน(subject)และส่วนขยาย(predicate)กลุ่มคำใดก็ตามที่ไม่ครบทั้งสองส่วนนี้ไม่ถือว่าเป็นประโยคสมบูรณ์ แต่บางประโยคอาจจะละคำบางคำไว้ในฐานที่เข้าใจหรือไม่มีความจำเป็นโดยส่วนที่เหลือสามารถสื่อให้เข้าใจได้ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังถึงแม้จะเหลือเพียงคำเดียวก็ยังถือว่าเป็นประโยค เช่น Go!, When?
Subject(ประธาน)อาจจะเป็นคำนามหรืคำสรรพนามเพียงคำเดียวก็ได้หรืออาจจะประกอบขึ้นจากคำหลายๆคำซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นคำนามก็ได้ เมื่อประธานของประโยคเป็นกลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำ โดยคำเหล่านั้นจะมีคำนามหลักอยู่ด้วยคำนามหลักจะทำให้ส่วนประธานสมบูรณ์และคำนามหลักนี้เรียกว่า subject-word หรือ simple subject เช่น The little boy, tired for play, is sleeping.ส่วนประธานของประโยคประกอบด้วย3คำ คือ the, little, boyแต่คำที่ทำหน้าที่เป็นsubject-wordหรือคำนามหลักของประธานคือboyและเป็นตัวกำหนดกริยาว่าต้องเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ส่วนlittleเป็นคำadjectiveขยายคำนามหลักและthe เป็นarticleเป็นคำนำหน้านาม
Subject(ประธาน)มักจะเป็นคำนามหรือเป็นคำเดียวหรืออาจเป็นกลุ่มคำก็ได้โดยกลุ่มคำนั้นจะทำหน้าที่เหมือนคำนามและคำที่ใช้เป็นประธานในภาษาอังกฤษนั้นได้แก่ คำนาม(noun)คือ ชื่อของคน สัตว์ สถานที่หรือชื่อของสิ่งต่างๆรอบตัวเรา, สรรพนาม(pronoun)คือคำที่ใช้เรียกแทนคำนาม ได้แก่ he, she, it, I, you, we, they คำคุณศัพท์(adjective)ขยายคำนามหลัง แต่คำคุณศัพท์ที่นำมาเป็นประธานได้ถ้าละประธานตัวจริงที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เช่น The rich much help the poorซึ่งrichและpoor เป็นadjectiveที่ขยายคำนามหรือสรรพนาม แต่richขยายpeople แต่ละpeopleไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะจริงจะเป็น the rich peopleเป็นต้น to-infinitive(to+v1)สามารถนำมาเป็นประธานเอกพจน์เสมอ เช่น to fine fault is easy.เป็นต้น
Subject(ประธาน)ชนิดต่อมาคือgerundกริยาช่องที่หนึ่งเติม-ingจะนำมาเป็นประธานที่เป็นเอกพจน์เสมอ Talking too much is a sign vanity.เป็นต้น วลี(phrase)คือกลุ่มคำที่นำมาเป็นประธานของประโยค เช่น To win a prize is my ambition.ซึ่ง To win a prizeคือประธานของประโยและเป็นวลี Slow and ready win the race.ซึ่ง Slow and readyคือphraseที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเป็นประธานเอกพจน์ และประธานชนิดสุดท้ายคือ อนุประโยค(clause)คือกลุ่มคำที่มีประธานและกริยาเป็นของตัวเองใช้เป็นประธานของประโยคได้และเป็นประธานเอกพจน์ เช่น why he climbed the mountain is mystery to me.ใช้noun clauseเป็นประธานของประโยคและกริยาคือisเป็นเอกพจน์
ประธานที่ประกอบด้วยกลุ่มคำที่มีตั้งแต่2คำขึ้นไป จะต้องมีส่วนขยายคำนามหลัก(subject word)อยู่ด้วยเสมอโดยคำที่มาขยายคำนามหลักนั้นจะอยู่ในหลายๆรูปดังนี้ ใช้articleขยายคำนามหลักของประโยค เช่น A baby cried. (Aขยายคำนามหลักbaby)เป็นต้น adjectiveขยายคำนามหลักของประโยค เช่น Fresh milk is good for the health.เป็นต้น ใช้possessive adjectiveหรือpossessive case (s’)เป็นส่วนขยายคำนามหลักของกลุ่มประธาน ใช้nounหรือphrase in appositional เป็นส่วนขยายคำหลักของส่วนประธาน nounและphrase in appositionคือคำที่ใช้เป็นสรรพนามหรือขยายคำนามหลักนั่นเอง เช่น Lincoln, the president of America, was assassinate.เป็นต้น ใช้prepositional phraseเป็นส่วนขยายคำนามหลักที่เป็นประธาน เช่นBirds of the same flock together.(birdเป็นคำนามหลัก)เป็นต้น และยังมีคำอื่นๆเป็นตัวขยายคำนามหลักของส่วนประธาน เช่น Only me to live pulled me through.(to liveเป็นto-infiniteทำหน้าที่เป็นadjective)หรืThe king, generous as ever, pardoned to rebel.(generous as everเป็นadjective phrase เป็นส่วนขยายking)เป็นต้น
Predicateคือส่วนขยายของประโยค โดยประโยค(sentence)ที่สมบูรณ์นั้นจะประกอบด้วย2ส่วน คือส่วนประธานและส่วนขยายซึ่งส่วนขยายคือส่วนที่อยู่ถัดจากส่วนประธาน predicateอาจเป็นคำๆเดียวหรือกลุ่มคำก็ได้ แต่ส่วนหลักของส่วนขยายจะเป็นกริยาเพราะประโยคที่ไม่มีกริยาถือว่าเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าส่วนขยายทีเพียงคำเดียวก็แสดงว่าคำนั้นเป็นคำกริยาแต่ถ้ามีหลายคำต้องมีกริยาอยู่ในนั้นด้วยส่วนที่เหลือจะเป็นคำกริยาวิเศษณ์หรืกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เหมือนadverb(adverb-equivalent)ดังตัวอย่าง Tom did his work efficiently โดย efficiently.เป็นadverbที่ทำหน้าที่ขยายกริยาคือdidในประโยคและตั้งแต่didเป็นต้นมาคือส่วนขยายของประโยคLadda looked disappointed.ซึ่งdisappointedเป็นpast participleคือกริยาช่องที่3ทำหน้าที่เป็นเหมือนadverbและตัวอย่างต่อมาคือDale wanted to goซึ่งto goเป็นto-infinitiveและเป็นส่วนขยาย(predicate)ด้วย
Object คือกรรมของประโยคจะอยู่ในส่วนpredicateและจะอยู่หลังกริยาที่ต้องการกรรม(transitive verb)objectมีอยู่2ชนิดคือdirect objectและindirect objectซึ่งdirect objectคือกรรมตรงของประธานโดยปกติแล้วdirect objectจะไว้หลังindirect objectหรือวางไว้ลำพังถ้าในประโยคนั้นไม่มีindirect objectอยู่ในประโยคด้วย ตัวอย่างประโยคที่มีdirect objectเพียงลำพัง Tom did workและประโยที่มีindirect objectและdirect objectคือ I will sent you a doll(dollเป็นกรรมตรงของกริยาsentส่วนherเป็นindirect objectของsentและวางa dollไว้ด้านหลัง)และประโยคI will sent a doll to her(กรรมตรงคือa dollวางไว้หน้าindirect objectได้โดยใช้toมาคั่นเสมอเพราะถ้าต้องการวางdirect objectไว้หน้าindirect objectจำต้องเพิ่มtoมาคั่นด้วยหรือใช้for)
            ประโยคสามารถมีobjectหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับverbเนื่องจากverbมีด้วยกัน2ชนิด คือ transitive verbคือกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับซึงกรรมที่มารองรับจะมีเพียงกรรมตรงdirect objectหรือมีทั้งกรรมรองindirect objectก็ได้ตามที่ผู้ใต้องการกรรมมารองรับจึงจะทำให้ความหมายสมบูรณ์ ซึ่งกริยาคือtransitive verbและกริยาอีกชนิดคือintransitive verbคือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับเพราะเนื้อหาของประโยคและความหมายของกริยาสมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมีกรรมตามหลัง จะมีเพียงcomplementคือส่วนที่เติมให้ความหมายสมบูรณ์เท่านั้นจึงไม่ต้องมีกรรมตามหลัง เช่น Teacher slept in his chair. (slept มาจากsleepมีความหมายสมบูรณ์อยู่แล้วin his chair เป็นเพียงcomplement)
            ประโยค(sentence)คือกลุ่มคำที่มีความหมายในตัวเองเป็นที่เข้าใจกันดีระหว่างผู้ส่งสารและรับสารว่ามีใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไหรอย่างไรโดยแบ่งประโยคออกเป็น4รูปแบบคือ1ประโยคคำกล่าว(statement)โดยแบ่งออกเป็น2ลักษณะคือ ประโยคคำกล่าวบอกเล่า(affirmative)เช่นHe goes to school.และประโยคคำกล่าวปฏิเสธ(negative)เช่นHe doesn’t go to school. 2ประโยคคำถาม(question/ interrogative)เช่นwhat do you want? 3ประโยคขอร้อง(request)หรือประโยคคำสั่ง(imperative)เช่นPlease, open the door.หรือGet out. 4ประโยคอุทาน(exclamation)gช่นhow cool is it!นอกจากนี้sentenceที่แบ่งตามโครงสร้างของประโยคถูกแบ่งออกเป็น4ชนิดโดยแต่ละประโยคจะมีอนุประโยคclauseที่อยู่ภายในเป็นตัวกำหนด1simple sentence2compound sentence3complex sentence4compound sentence
            Simple sentenceคือประโยคที่มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว คือ independent clauseเพียงประโยคเดียวเท่านั้นโดยจะไม่มีsubordinate clauseอยู่ในประโยค อนึ่งindependent clauseคือประโยคอิสระที่ประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าmaim clauseโดยประโยคsimple sentenceจะประกอบด้วยส่วนประธานและส่วนขยายเท่านั้นโดยประธานจะเป็นคำๆเดียวหรือหลายคำก็ได้และส่วนขยายจะเป็นคำๆเดียวหรือหลายคำก็ได้เช่นกัน เช่น Rattana waited for a taxi for 10 minute. The English class will have a test on Monday.ซึ่งสังเกตได้ว่าsimple sentenceนั้นจะเป็นประโยคสั้นๆโดยมีประธานตัวเดียวและกระทำเหตุการณ์เพียงหนึ่งเหตุการณ์ในประโยคโดยกริยาแท้ของประโยคจะมีเพียงตัวเดียวซึ่งอยู่ในส่วนขยายของประโยค
            Compound sentenceคือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคอิสระindependent clauseตั้งแต่2ประโยคขึ้นไปและแต่ละประโยคมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเองโดยมีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวอง ประโยคอิสระที่อยู่ในประโยตcompound sentenceนั้นจะมีความเสมอภาคกันทั้งในด้านความสำคัญและความเป็นอิสระที่ไม่ต้องขึ้นตรงต่อกัน จะใช้ตัวเชื่อมจำพวกcoordinating conjunctionคือand, or, forเป็นต้นconjunction adverbจำพวก also, furthermoreเป็นต้น เป็นตัวเชื่อมประโยคอิสระแต่ละประโยคเข้าด้วยกันในประโยคcompound sentence
            Complex sentenceคือประโยคความซ้อนซึ่งประกอบด้วยประโยคหลัก1ประโยคและประโยครองหรืออนุประโยคอีกอย่างน้อย1ประโยคซึ่งประโยคหลักindependent clause, main clauseหรือprinciple clauseคือประโยคอิสระที่มีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองไม่ขึ้นตรงต่อประโยคอื่นและประโยครองdependent clauseหรือsubordinate clauseคือประโยคที่อาศัยประโยคหลักอยู่ ประโยครองจะไม่สามารถอยู่ตามลำพังโดยไม่มีประโยคหลักเพราะเนื้อหาของประโยครองเป็นเนื้อหาที่ใช้ขยายหรืออธิบายประโยคหลักและประโยครองสามารถทำหน้าที่เป็นกรรม เป็นส่วนขยาย เป็นกริยาวิเศษณ์ เป็นต้น ของประโยค ดังนั้นจึงอยู่ตัวเดียวไม่ได้ต้องมาในประโยคที่มีประโยคหลักอยู่ด้วย และความสำคัญของประโยคหลักกับประโยครองไม่เท่ากันจะใช้subordinate conjunctionจำพวกthat, which, who, when, if, where, while, whyเป็นต้น เป็นตัวเชื่อม
            Compound complex sentenceคือประโยคที่สร้างจากประโยคcompound sentenceและcomplex sentenceโดยประโยคCompound complex sentenceจะประกอบด้วยประโยคหลักmain clauseอย่างน้อย2ประโยคขึ้นไปและประโยครองsubordinate clauseอย่างน้อย1ประโยค เช่นWhile Sam played the guitar, Sara sang and Nate danced.ประโยคที่กล่าวมาประกอบด้วยประโยคหลัก2ประโยคและประโยครอง1ประโยค ดังนี้ ประโยคหลัก2ประโยค Sara sang and Nate danced.และประโยครองWhile Sam played the guitar.
            Clause คือกลุ่มคำที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเอง โดยมากแล้วclauseจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของประโยคเพื่อจะทำให้ประโยคนั้นยาวขึ้นซึ่งclauseสามารถแบ่งออกได้เป็น2กลุ่มใหญ่คือindependent clauseหรือmain clauseคือclauseที่มีความหมายสมบูรณ์อยู่ในตัวถ้าแยกclauseออกมาจะเป็นsimple sentenceเพราะเป็นประโยคที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและมีความหมายสมบูรณ์หนึ่งความหมาย และclauseกลุ่มคือsubordinate clauseคือclauseที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองแต่ไม่สามารถอยู่ได้ตามลำพังโดยจะต้องอาศัย(รวม)อยู่กับประโยคindependent clauseหรือmain clauseเสมอเพราะถ้าอยู่ตามลำพังตัวเองแล้วจะมีความหมายไม่สมบูรณ์ต่างจากmain clauseที่มีความหมายสมบูรณ์เช่นเดิม แบ่งออกเป็น3ชนิดคือ noun clause, adjective clauseและadverb clause
            Noun clauseคือกลุ่มคำและตัวขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เป็นเหมือนคำนามอีกนัยหนึ่งคือ ประโยคที่ทำหน้าที่แทนคำนามจึงเรียกว่าnoun clauseซึ่งnounใช้เป็นประธานเป็นกรรมของกริยาและกรรมของบุพบทส่วนnoun clauseคือประโยคคำนามที่สามารถใช้เป็นประธานเป็นกรรมของกริยาและกรรมของบุพบทเช่นWhat I told them was true.สำหรับmarkerคือเครื่องหมายหรือคำศัพท์ที่นำหน้าnoun clauseจะมีmarkerอยู่3กลุ่มนำหน้าเสมอ กลุ่มแรกคือwhen, where, how etc.กลุ่มที่สองคือif, whetherและกลุ่มสุดท้ายคือthat
            Noun clauseใช้เป็นประธานอกพจน์เสมอsubject(marker+subject2+verb2)+verb+complementใช้noun clauseเป็นกรรมของกริยาในประโยคsubject1+verb1+object(marker+subject2+verb2)เป็นกรรมของprepositionโดยnoun clauseจะวางอยู่หลังบุพบท noun clauseที่วางอยู่หลังinจะไม่ใช้if-clauseเป็นกรรมของประโยคจะใช้that clause สามารถใช้adjectiveวางไว้หน้าthat clauseได้ ใช้noun clauseเป็นส่วนเติมเต็มของกริยาในประโยคและใช้noun clauseเป็นส่วนขยายของคำนามหรือสรรพนามอื่นๆ
            Adverb clauseคือประโยคsubordinate clauseที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองทำหน้าที่เหมือadverbคือทำหน้าที่ขยายกริยาคำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ จะมีsubordinate conjunctionมานำหน้าประโยคmain clauseให้ใช้comma(,)คั่นระหว่างประโยคadverb clauseและmain clause และทีน่าสังเกตคือfuture simple tenseมักจะไม่ใช้ประโยคadverb clauseแต่ถ้าต้องการใช้ประโยคadverb clauseที่มีความหมายเป็นfuture simple tenseมักจะใช้present simple tenseแทนโดยadverb clauseจะแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามลักษณะหน้าที่ๆไปขยาย
            Phrase คือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองแต่มีความสัมพันธ์ในกลุ่มของตัวเองและมีความหมายแต่เป็นความหมายที่ไม่สมบูรณ์ เช่น in the morning.ซึ่งphraseวลีบาตัวขึ้นต้นด้วยprepositionและบางตัวขึ้นต้นด้วยparticipleแต่จริงๆแล้วphraseมีคำขึ้นต้นมากมายแตกต่างกัน โดยแบ่ง phraseแบบกว้างๆจะออกได้2กลุ่มด้วยกันคือ1.phraseตามรูปของการขึ้นต้น2.phraseตามหน้าที่ใช้งาน
            การแบ่งphraseตามคำขึ้นต้นจะมีคำหลักๆอยู่4ชนิดคือ1.prepositional phraseคือphraseที่คำขึ้นต้นเป็นprepositionซึงprepositionจะวางไว้หน้าคำนามหรือสรรรพนามเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามนั้นๆกับคำอื่นๆในประโยคและคำอื่นๆที่เริ่มต้นคือwith, on, behalfเป็นต้น2.participal phraseคือphraseที่ขึ้นต้นด้วยparticipleซึ่งparticipleมีอยู่หลายรูปแบบคือpresent participle (v-ing)ที่ลดรูปมาจากnoun clauseและpast participle (v3)และperfect participle(having+v3) 3.gerundial phraseคือphrase v-ing 4.infinite phraseคือphraseที่ขึ้นต้นด้วยto+v1
            การแบ่งphraseตามหน้าที่การใช้งานจะแบ่งออกได้3ชนิดด้วยกันคือ1.adjective phraseคือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เหมือนadjectiveหรือphraseที่ทำหน้าที่เหมือนadjectiveโดยทั่วไปเรียกว่าadjective phraseแม้จะมีหน้าที่ขยายนามเช่นเดียวกับadjectiveแต่มีการวางต่างกันคือadjective-a golden crownและadjective phrase-a crown made of golden. 2.adverb phraseคือกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เหมือน adverbเรียกว่าadverb phraseคือทำหน้าที่ขยายกริยาคำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์แต่ถึงแม้จะมีความหมายเดียวกับadverbแต่มีการวางต่างกัน adverb-bravelyและadverb phrase-in a brave manner. 3.noun phraseที่ทำหน้าที่เหมือนคำนามเช่น เป็นประธานหรือเป็นกรรมของประโยค

            ดังนั้นประโคหรือกลุ่มคำประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดงซึ่งสามารถทำเป็นประโยคบอกเล่า คำสั่ง คำถามต่างๆและโครงสร้างของประโยคยังมีความหลากหลายคือประโยคsimple sentence, compound sentence, complex sentence compound complex sentence ที่มีclauseหรือนุประโยคเป็นส่วนประกอบและยังมีphraseหรือวลีเป็นส่วนประกอบของประโยคอีด้วย นอกจากนี้ยงสามารถย่าclauseให้กลายเป็นphraseเพื่อให้ข้อความกระชับเพื่อความสวยงามของประโยค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น